Blogger นี้มีไว้ในการเรียนวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เท่านั้น
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
น่าหนักใจ บ้านเมืองชักไปกันใหญ่!
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย แม้จะปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเอาไว้อย่างแข็งขัน แต่หากทุกคนเอาแต่อ้าง สิทธิเสรีภาพอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสมอภาคและภราดรภาพ บ้านเมืองก็จะร้อนรุ่มไปด้วย "ไฟขัดแย้ง" ที่ลุกโชนเผาผลาญไปตลอดกาล
"เห่าไฟ" ขอย้ำว่า เห็นด้วยกับการชุมนุมทางการเมืองของ พลเมืองทุกกลุ่ม แต่ไม่มีวันยอมรับการใช้อภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย ปิดถนนละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าม็อบจะอ้างเหตุผลใดก็ฟังไม่ขึ้น เพราะแค่การทำให้ถูกกฎหมายจิ๊บๆ อย่าง กฎจราจร ยังทำไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะไปทำในสิ่งที่ถูกกฎหมายใหญ่ๆอย่าง กฎรัฐธรรมนูญ ได้เล่า
ส่วนสิ่งที่ "เห่าไฟ" เห็นว่า ชักจะไปกันใหญ่ ก็คือ การที่ ผู้นำกองทัพ ไฟเขียวให้ทหารเข้าไปร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล โดยอ้าง สิทธิเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่กลับไม่คำนึงถึงหลัก ภราดรภาพ ทั้งที่กองทัพจะต้องเป็น สถาบันหลัก ที่ดำรงสิ่งนี้เอาไว้เหนือพลเมืองโดยทั่วไป นอกจากนี้ หากทหารอีกกลุ่มอ้างสิทธิตามที่ผู้นำกองทัพไฟเขียวเอาไว้ โดยออกไปร่วมชุมนุมกับ ม็อบหนุนรัฐบาล อะไรจะเกิดขึ้นกับกองทัพ เคยคิดกันบ้างหรือไม่
"เห่าไฟ" ขอย้ำว่า ทหารและข้าราชการทั่วทั้งแผ่นดิน มีหน้าที่จงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ และปฏิบัติงานตาม นโยบายรัฐบาล เฉพาะเรื่องที่ไม่ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น หากเป็นไปตามนี้ ข้าราชการทุกคนก็จะเป็นฝ่าย รักษาบ้านเมือง เอาไว้ได้ ส่วนพลเมืองจะขัดแย้งเพราะความเห็นแตกต่างกันอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นไปตาม ครรลองประชาธิปไตย แค่นี้สังคมไทยก็จะกลับมา ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ได้อย่างมั่นคงยั่งยืนแล้ว
สำหรับการชุมนุมอย่างสงบตามรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าฉลาดอ้างกันนัก ก็น่าจะอ้างให้หมด เพราะวรรคสองได้ให้ อำนาจรัฐจัดการตามกฎหมาย ในกรณีที่เป็นการคุ้มครองความสะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ และยังมีอีกหลายมาตราที่คุ้มครองพลเมืองจากการ ถูกละเมิดสิทธิโดยผู้อื่น สามารถใช้สิทธิทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในชั้นศาลได้
"เห่าไฟ" หยิบยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาอ้างถึงตรงนี้ ไม่ได้ต้องการให้ รัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุม เพราะวิถีแห่งอารยชน จะไม่ใช้ความรุนแรงทุกกรณี แค่หยิบยกเหตุผลมาถกเถียงกันในที่สาธารณะก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับ ปัญญาชน เว้นแต่จะเป็น ซาดิสต์ชน กระหายเลือด วันๆ คิดแต่จะ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ข้อสำคัญ หลักการตามแนวทางแห่งกฎหมายเหล่านี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนไหวของ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มริบบิ้นสีขาวต่อต้านความรุนแรง "เห่าไฟ" เชื่อมั่นว่า นักวิชาการคนนี้ จะเป็น แกนนำ ของการจุดกระแสสังคมที่เต็มไปด้วยความสับสนให้กลับคืนสู่ ความมีสติ และ ใช้ปัญญา แก้ปัญหามากกว่า อารมณ์ความรู้สึก ได้แน่นอน
พูดไปแล้ว ทำให้นึกถึง กระแสจตุคามรามเทพ เพราะอยู่ๆก็พุ่งทะลักจนสังคมไทยแทบกระอักอาเจียนแบบ ไร้เหตุผล วันดีคืนดี ก็เลิกเฉยเลย หลายคนถึงกับ มึนตึ้บ แม้จะรู้ว่าเป็นแค่ ความตื่นตาตื่นใจ ชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนชมดอกไม้ไฟ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปดูใช่ไหม แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆทุกคนก็จะ ชิน และ เลิกดูไปในที่สุด ก็เหมือน การเมืองข้างถนน ตอนนี้นี่แหละ
"เห่าไฟ" ถึงพยายามกระตุ้นเตือนพ่อแม่พี่น้องประชาชนมาตลอดว่า ให้ยึดมั่นกฎกติกาเป็นหลัก ใครจะพูดจาหวือหวาตื่นเต้นเร้าใจอย่างไร ก็แค่ดูๆไว้ก็พอ แต่สุดท้าย สิ่งที่จีรังยั่งยืนกว่าก็คือ กฎหมายบ้านเมือง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ก่อเกิดมาในสังคม จะต้องเป็นไปตาม หลักกฎหมาย ที่ถูกบัญญัติโดยประชาชนส่วนใหญ่ ใครที่ยึดมั่นกฎหมาย ก็จะมีชีวิตที่ อิสรเสรี มีเกราะแก้วคุ้มครองตลอดไป ส่วนใครที่ไม่เคารพกฎหมาย ก็จะมีชีวิตที่ สุดแสนอนาถตลอดไป
ตอนนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุงก็คือ ปรับ ครม. เพื่อนำ นักบริหารระดับพระกาฬ เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักลงทุนในการแก้ปัญหาประเทศโดยด่วนที่สุด เรื่องนี้แม้จะเป็นข้อแนะนำจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์ ก็จะรู้ได้เองว่า การผสานแนวคิดทุกฝ่ายเพื่อสร้าง รัฐบาลแห่งชาติทางความคิดขึ้นมานั้น จะทำให้เมืองไทยเกิด พลังมหาศาลอย่างแท้จริง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น